logo
Human and AI

Human and AI

ระบายความรู้สึกจริง ๆ ที่อาจจะลง Social Media ไม่ได้ โดยเป็นการรวมคำถามต่าง ๆ ที่คิดอยู่ตลอด และ พยายามหาโอกาสได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุด หากมีโอกาส

ทรัพย์สินทางปัญญา กับ AI ???

ถ้าเรื่องแรกที่มักจะเห็นกันมากที่สุด ก็คงจะเรื่องนี้จริง ๆ เพราะว่าการเก็บข้อมูลรูปภาพเป็นหลักล้านขึ้น ไม่ว่า รูป ข้อความ เสียง Video หรืออื่น ๆ คำถามเรื่องของลิขสิทธิ์ ถ้าปัจจุบันศาลบอกว่า Fair Use (ถ้าอ้างอิงจากสำนวนของแต่ละเคสในสหรัฐ) แต่การเก็บข้อมูลนั้นยังคงถกเถึยงกันและมีคำถามมากมายเช่น ...

ถ้าแบ่งเป็นความรู้สาธารณะต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องทั่วไป เช่น

  • หนังสือเรียน, ความรู้ต่าง ๆ ที่ไม่ได้เป็นลิขสิทธิ์เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา เป็นต้น
  • บทความวิจัย
  • ข้อมูลสาธารณะ ที่เป็นเหมือนให้อารมณ์ Big Data
  • Open Source Project

ตรงนี้คงไม่มีประเด็นอะไรมาก เพราะว่าข้อมูลพวกนี้ไม่ได้เป็นแบบงานสร้างสรรค์อยู่แล้ว ก็เอาไปได้เลย ฟรี ๆ

อันที่ผิด (ตัวอย่างเคสหนังสือเถื่อนที่ Anthropic ไปดูดมาเทรน)

  • ของเถื่อนทั้งหลายไม่ว่า หนังสือ, หนัง ที่เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต

จุดที่เทา ๆ หน่อย

  • งานวรรณกรรม งานเขียน ที่ซื้อมาแบบถูกลิขสิทธิ์ ไปซื้อนิยาย แล้วทำการประมวลผลจากข้อความบนกระดาษให้เป็นข้อความ บ้างก็อาจตีความว่าเป็นการทำซ้ำ ดัดแปลง ซึ่งเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ โดยไม่ได้รับอนุญาต
    • จุดที่คิดว่าเอามาฟ้องคือ การ pre-process ข้อมูลก่อนเอาไปทำการ Train เช่นการแปลงเป็น vector embeddings แล้วทำการ Train
  • คนรีวิวสื่อใด ๆ แล้วมีประโยค ภาพประกอบจาก สื่อนั้น ๆ อาจเจตนาหรือไม่เจตนา ซึ่งอาจมีลิขสิทธิ์ได้

ความคิดเห็น ณ จุดสีเทา ๆ

Human

ถ้าการเปรียบเทียบของมนุษย์ในการเรียนรู้อะไรต่าง ๆ เช่น เรียนภาษา C จาก หนังสือที่มีชื่อว่า The C Programming Language ของ Brian Kernighan และ Dennis Ritchie โดยได้ทำการศึกษาทีละบท แล้ว ทำการลองเขียนตาม ซึ่งต่อมาเขียนภาษา C เป็น

AI

  1. ซื้อหนังสือ The C Programming Language ของ Brian Kernighan และ Dennis Ritchie มา
  2. Scan หนังสือและทำการ OCR เพื่อแกะข้อความออกมาจากหนังสือ
  3. ทำการ Data Labeling เช่นถ้าเป็น LLM ถ้ามีแต่คำตอบอย่างเดียว ต้องมีการแบ่งส่วนให้ AI ได้เรียนรู้เช่น GPT ต้องแบ่งส่วนที่ต้องให้มีการ predict Token แต่ละตัวให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
  4. เอาไปทำการ Train หรือ Fine Tuning ต่าง ๆ
  5. โมเดลนี้สามารถเขียนภาษา C ได้ตามหนังสือ The C Programming Language โดยอาจมีความแม่นยำสูง แต่ก็ยังมีผิดพลาดบ้าง

จากเหตุการณ์ข้างบนประเด็นก็จะมีดังนี้

ภาพจาก pdf พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 จาก DIP (https://www.ipthailand.go.th/images/3534/2565/Copyright/Copyright_Act2_TH.pdf)
  • Scan หนังสือ -> ทำซ้ำ คัดลอก ?
  • OCR เพื่อแกะข้อความออกมาจากหนังสือ -> ทำซ้ำ คัดลอก ?
  • การ Tokenize (การตัดคำ, การแปลงภาษามนุษย์ให้เป็น Vector) -> ดัดแปลง ?

ในบางครั้งการที่บอกว่าการที่จะให้โมเดลเรียนรู้นั้น โดยอาจทำด้วยคน หรือ AI ซึ่งถ้าแต่ก่อนทำด้วยนักวิจัยอยู่แล้ว แต่คำถามคือ นักวิจัยโดยฟ้องร้องได้หรือไม่ ?

ถ้ามีการ Update เรื่องนี้แล้วจะเอามาเขียนเพิ่มเติม

ข้อเสนอที่มีให้เห็น ณ ปัจจุบัน

  • คิดราคาพิเศษ หากเอาไป Train AI -> ขาย 2 ราคา แต่การพิสูจน์ว่าต้องซื้อเพื่ออะไร และ หากมีการฟ้องร้อง ต้องย้อนหลังไปไกลมาก ๆ และ หลักฐานทั้งหมดต้องมัดแน่นพอเช่น ใบเสร็จ คำสั่งซื้อ -> มี Trick มากมายอีก เช่นไปซื้อมือสอง หรือ ร้านหนังสือที่ใช้เงินสด หรือ หนังสือที่บ้าน
  • ค่าดึงข้อมูลจาก Reddit, X (Twitter), Facebook เพิ่มขึ้น เพราะว่าไม่ได้ขายให้ Human ไปทำ Data หรือ Third-Party ใด ๆ แล้ว
  • สร้างตลาดซื้อขาย Data -> ที่มา ???

ความพยายาม กับ จิตวิญญาณ

ภาพ My Neighbour Tororo จาก Studio Ghibli

ถ้าคำว่าความพยายาม บางครั้งเราต้องมาเห็นแบบนี้กันจริง ๆ หรอ เช่น Studio Mappa ใช้งาน Animator หนักเกินไป และค่าแรงต่ำ ๆ , J.C. Staff สร้าง One Punch Man Season 3 ที่ทำให้คุณภาพต่ำกว่าที่คิด และสิ่งนี้ถ้ามองตามความเป็นจริงคือ ระบบทุนนิยม การมองไปสู่กำไร เลยทำให้การสร้างสรรค์งานต่าง ๆ กลายเป็นว่า เพื่อผลประโยชน์ เพื่อผลกำไร หรือบุคคลใด หรือ ความฝันทั้งนั้น สุดท้ายคือ PR นั่นแหล่ะ

จิตวิญญาณ สุดท้ายคำนี้ในการสร้างสรรค์งานต่าง ๆ ตกไปที่การเล่าเรื่อง เบื้องหลัง ความหมายต่าง ๆ ของผู้สร้างขึ้นมา เพราะว่าต่อไปให้มี AI แล้วจะบอกหรอว่า อันนี้ อยู่ดี ๆ AI คิดขึ้นมาเอง (แต่ความจริงคือ คนตั้งเวลาไว้แล้วใช้ n8n ทำก็ได้ 555555555) Studio Ghibli ผกก. Hayao Miyazaki เค้ามี Signature นึงคือ ต่อต้านสงคราม, หญิงแกร่ง เป็น key หลัก และการถ่ายทอดรูปแบบ Animation ที่มีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีวิธีใหม่ ๆ เสมอ และเนื้อเรื่องที่ต้องมีจุดให้พูดถึงตลอด สิ่งเหล่านี้เป็นมากกว่าคำว่า Style ที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่คุณค่าจริง ๆ อยู่ที่เนื้อหา และ การถ่ายทอดล้วน ๆ

ความเท่าเทียม ? การกระจายศูนย์ ? เท่าเทียมแต่ไม่เท่าสำหรับบางคน

ภาพ My Neighbour Tororo ที่ถูกสร้างด้วย AI โดยนำภาพจากด้านบนแกะ Prompt ออกมาแล้ว Generate ด้วย Z-Image Turbo

ภาพ Generate จาก Nano Banana Pro

คำถามก็คงมีมากมาย คือ AI กับความเท่าเทียมเช่น... การที่จะทำ Graphics รูปประกอบต่าง ๆ เช่น Infographics งาน 1 งานถ้าสมัยก่อน ถ้าไม่จ้างก็ต้องไปเรียน Photoshop, Illustrator เรียนองค์ประกอบศิลป์ต่าง ๆ เข้าใจหลาย ๆ อย่างเพื่อสร้างขึ้นมา ในปัจจุบันกลายเป็นว่า AI เช่น Nano Banana ทำได้หมดเลย ทุก ๆ คนเข้าถึงได้ ฟรีด้วย ทำฟอนต์ไทยได้ มีความสวยงาม และ ภาพมีความคมชัดด้วย แบบนี้ทำให้อวสาน Graphics Design ได้จริงหรอ

effort ที่หายไป และ เวลาที่ได้มามากขึ้น ทำให้เป็นเรื่องปกติที่ทำให้เกิดการไม่พอใจอยู่แล้ว เพราะว่าการถูกเอาเปรียบหรือถูกสิ่งใดที่เก่งกว่า ไวกว่า เป็นการที่ทำให้รู้สึกไม่ดีเสมอ เป็นเรื่องไม่แปลกที่จะต่อต้าน และความไม่สบายใจต่าง ๆ จนนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังในโลก Online จนบางครั้งอาจจะเลยเถิด ซึ่งอาจเกิดการคุกคามชีวิต หรือ ทำลายคนคนนึงได้เลยเพียงแค่ไม่ถูกใจเท่านั้น

Social Media สร้างคนได้ แต่ทำลายง่ายกว่า เพราะสุดท้าย Engagement อย่างแท้จริงคือ การสร้างความเกลียดชัง เพราะ Algorithm ไม่รู้เลยว่าอันนี้ Tone และ Feeling อย่างไร NLP ไม่สามารถเข้าใจมนุษย์ได้กับข้อมูลปริมาณมากในแต่ละโพสต์ เช่น Facebook เคยให้โพสต์ที่กดโกรธ = More Engagement แต่สุดท้ายเอาออก


Fundamental สำคัญเสมอ

พื้นฐานของทุก ๆ อย่างไม่ว่าจะ วาดรูป, เขียนโปรแกรม, หรือ ทักษะใด ๆ สำคัญเสมอต่อให้ AI ทำได้ทุกอย่างแล้ว แต่การที่ไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วมาให้ AI ทำ ยังไงก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ตรงเท่า AI + Fundamental เช่น การ Vibe Coding การ Prompt ทำ Spec การเตรียมของต่าง ๆ ที่จะให้ AI ใช้ การดูว่าจุดไหนใช้ได้ไม่ได้ การวิเคราะห์ภาพรวม การเข้าใจ AI แต่ละส่วน ช่วยได้มากกว่า Vibe แบบ Chat ไปเรื่อย ๆ และลดความผิดพลาดได้ด้วย

Agent สมัยนี้ถึงจะเก่งแต่ก็ผิดได้เสมอ


ต่อไปต้องทำอะไร ถ้า AGI เกิดขึ้นแล้ว และ AGI ทำงานได้ด้วยตัวเองแล้ว ไม่ต้องมีการป้อนจากมนุษย์อีกต่อไป

WALL-E

ถ้ามองปัจจุบัน AI ทำ Reasoning มันก็คือเป็นการใส่ Data การคิดเข้าไปเอง จาก

1+1 = 2

กลายเป็น

1+1 = เอาหนึ่งไว้ในใจชูขึ้นมา 1 นิ้วแล้วนับนิ้ว ได้ 1 และ 2 ดังนั้น 1+1 จึงเท่ากับ 2

ก็คงไม่ต่างจาก Wall-E หรอก การตกงาน การ Layoff อาจจะเกิดขึ้น แต่การที่ทำให้ Labor แรงงานน้อยลง = productive น้อยลง แถมถ้าเอา AI มาเป็นการ Judge ความผิดพลาดต่าง ๆ ไม่รู้ แต่ถ้ารู้ได้ อันนี้คงอีกนาน

แต่การตีความคำว่าผิดถูก ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากมากอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องมี bias จากการฝึก จากการเรียนรู้ ... ไม่ต่างจากคนเลย


What If ถ้าออกกฎหมายห้าม Train AI ใด ๆ

เรื่องนี้ก็คงพูดได้ว่าถ้าเกิดขึ้นจริง ทุกความรู้ ทุกอย่าง กลายเป็นว่า เป็นการปิดกั้นการเรียนรู้อีกต่อไปเลย อนาคต ความรู้ฟรีอาจถูกเอาออกไปหมด จนเหลือแต่ต้องใช้เงินในการได้มาซึ่งความรู้ แบบนี้ความเท่าเทียม เพดานต่าง ๆ ก็จะกลายเป็น เงินอย่างเดียว เช่น เรียนวาดรูปต้องเรียนกับผู้ถือลิขสิทธิ์เท่านั้น และ การสร้างสรรค์งานใด ๆ ต้องมีค่าใช้จ่ายที่อยู่เพียงนายทุนกลาง และ สามารถขึ้นราคาได้เรื่อย ๆ เพราะว่าเป็นเจ้าของ = คิดราคาเท่าไหร่ก็ได้ และ สามารถควบคุมทุกอย่างได้อีก


คุณค่าของมนุษย์

ต่อไปนี้คงเหลือแค่ว่า Effort + Behind The Scene อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่สนใจอีกต่อไป Output และ ไอเดียที่เสนอหน้างานมากกว่าไปแล้ว แต่พลังพวกนี้ การที่ทำให้จะเป็นต้นกำเนิดของ idea ต่าง ๆ ต่อไปอนาคต AI คิดได้เองก็ตามถึงเวลานั้นหลาย ๆ อย่างคงโดน Regulate ไปแล้ว งาน Human Made อาจจะมีค่าขึ้นได้ เหมือนกับ Digital/Flim Camera หรือกิจกรรม Activity IRL ต่าง ๆ อาจพลักดันมาให้มีมากขึ้นได้


คนก็ผิดพลาดได้ แต่ AI ทำไมห้ามผิด

Hallucination คือ อาการหลอนจาก AI เช่น มั่วทรง แล้วมาแบบมั่นใจ พอบอกว่าคำตอบผิด ก็บอกว่าเราถูกอีก ซึ่งการหลอนจริง ๆ นั้น คนเราบางทีจำอะไรผิดบ้าง มั่วบ้าง ก็มีเหมือนกัน สุดท้าย การพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับ และ การนำไปใช้ก็ต้องเป็นคนอยู่ดี ณ ตอนนี้ยังไม่ควรโทษว่า AI บอกมาแบบนี้ มันผิดเอง


ใส่ข้อมูลผิด ๆ ลงบน Internet เพื่อให้ AI โง่ลง ?

ใส่ Glaze ใส่ Nightshade ลงไปในภาพ หรือ เผยแพร่เรื่องผิด ๆ มั่ว ๆ ผ่าน video ผ่านบทความ การทำข่าวปลอมไปเยอะ ๆ การปั้นเรื่องจาก AI ให้มั่ว ๆ แล้วสร้าง engage หรือเน้นปริมาณอย่างเดียว แบบนี้จริง ๆ นักวิจัยไม่ได้กินหญ้านะ มีการคัดกรองเสมอ

ทำแบบนี้โดน พรบ. คอม 2560 นะ


อย่าสุดโต่งจนเกินไป

บางคนบอกว่า AI จะเป็นอนาคตของทุกอย่าง ทำทุกอย่างที่ให้ AI คิดเองทั้งหมด แม้กระทั่ง idea ด้วยซ้ำ หรือบางคนไม่เอาอะไรเลย จะยอมเสียสุขภาพกายเพื่อไม่ต้องใช้ AI ในการทำงาน แบบนี้ก็มีจากที่เคยเห็นมา

AI ยังคงไม่ใช่พระเจ้า และ สุดท้ายถ้าใช้ AI เป็นแบบนั้นก็อาจจะพาไปสู่หายนะได้ การที่ไม่รู้อะไรเลย แต่บอกว่าตัวเองรู้ ยังคงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด


บทส่งท้าย

ถ้าอยากอ่านเรื่อง งานศิลปะจากปัญญาประดิษฐ์ และผลกระทบต่อมนุษย์และสังคม สามารถอ่านได้ที่ Link นี้

ฉบับ Google Docs https://docs.google.com/document/d/1V5ilt5oIzxQSXLw3_4alN7_Ve7h5KoRchKEnJNZjIas/edit?usp=sharing


*ข้อความทั้งหมดเจนด้วย GPT5.2 ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อ 1-2 ชม. จากตอนที่เขียน เป็นโมเดล AI สามารถเรียก Agent ได้เก่งมากจนไม่ต้องหาข้อมูลเองอะไรแล้วและไม่หลอนเลย (ฮา)